ตากระตุก: โชคหรือโรค? มาไขข้อข้องใจกัน
ตากระตุก เป็นอาการที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน หลายคนเชื่อมโยงอาการนี้เข้ากับความเชื่อเรื่องโชคลาง เช่น ตากระตุกข้างซ้ายอาจหมายถึงเรื่องร้าย แต่ในทางการแพทย์แล้ว อาการตากระตุกเกิดจากอะไรได้บ้าง และมีความเกี่ยวข้องกับโรคภัยไข้เจ็บหรือไม่ มาหาคำตอบไปพร้อมกัน
หนังตากระตุก |
สาเหตุที่ทำให้ตากระตุก
- ความเครียด: ความเครียดเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณดวงตาเกิดการหดเกร็ง ซึ่งส่งผลให้ตากระตุก
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ: การนอนหลับไม่เพียงพอหรือการพักสายตามากเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาอ่อนล้าและเกิดอาการกระตุกได้
- การใช้สายตาหนัก: การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การอ่านหนังสือในที่แสงน้อย หรือการขับรถเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้กล้ามเนื้อตาเมื่อยล้าและเกิดอาการกระตุกได้
- การขาดสารอาหาร: การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น แมกนีเซียม หรือโพแทสเซียม อาจส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและทำให้เกิดอาการตากระตุกได้
- ปัจจัยทางพันธุกรรม: บางคนอาจมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการตากระตุกได้มากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรม
- โรคบางชนิด: ในบางกรณี อาการตากระตุกอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางชนิด เช่น โรคเบลล์พัลซี (Bell's palsy), โรคต้อกระจก, หรือโรคเกี่ยวกับระบบประสาท
เมื่อใดควรพบแพทย์
หากอาการตากระตุกของคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์
- ตากระตุกบ่อยและนานขึ้น
- มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดตา เห็นภาพซ้อน หรือใบหน้าชา
- ตากระตุกรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
การรักษาอาการตากระตุก
การรักษาอาการตากระตุกจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้
- พักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับให้ครบ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
- ลดการใช้สายตา: หากต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ควรพักสายตาเป็นระยะๆ
- ปรับปรุงอาหาร: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินบีรวม และแร่ธาตุต่างๆ
- หลีกเลี่ยงสารกระตุ้น: เช่น คาเฟอีน และนิโคติน
- ใช้ยาทาหรือยาทาน: ในบางกรณี แพทย์อาจจ่ายยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการ
สรุป
อาการตากระตุกส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุที่ไม่ร้ายแรง และสามารถหายได้เอง แต่หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง
0 ความคิดเห็น